“โรงงานประภาคาร” ในประเทศจีนแตะระดับสูงสุดในรายการใหม่ของฟอรัมเศรษฐกิจระดับโลก
สัดส่วนของ “โรงงานประภาคาร” จากประเทศจีนแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรายการใหม่ที่เผยแพร่โดยฟอรัมเศรษฐกิจระดับโลก (World Economic Forum หรือ WEF) เมื่อวันอังคาร (8 ต.ค.) โดยเน้นย้ำถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องของบริษัทจีนในการเร่งการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและการยกระดับภาคการผลิต
WEF ประกาศว่า ผู้ผลิตด้านนวัตกรรม 22 รายได้ร่วมมือกับเน็ตเวิร์คประภาคารทั่วโลก รวมถึงกลุ่มล่าสุดของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 19 (4IR) และโรงงานประภาคารที่มีความยั่งยืนสามแห่งใน 10 ประเทศ เช่น จีน สาธารณรัฐเช็ก และเยอรมนี
ในบรรดาโรงงานข้างต้นทั้งหมดมีจำนวน 13 แห่งตั้งอยู่ในประเทศจีน คิดสัดส่วนเป็นเกือบร้อยละ 60 ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์
ในบรรดาโรงงานประภาคารแห่งใหม่ 19 แห่งในปี 2567 โรงงานประภาคารจีน ได้แก่ Mengniu Dairy (Ningxia) Co, Sanmen Nuclear Power Co, Zhengzhou Coal Mining Machinery (Group) Co และ Taiyuan Heavy Industry Railway Transit Equipment Co ถือเป็น “โรงงานประภาคาร” แห่งแรกของโลกในภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ผลิตภัณฑ์นม พลังงานนิวเคลียร์ เครื่องจักรทำเหมืองถ่านหิน และอุปกรณ์การขนส่งทางรถไฟ ตามลำดับ
นอกจากนี้ บริษัทจีนยังได้ก่อตั้งโรงงานประภาคารในต่างประเทศแห่งแรก Foxconn Industrial Internet Viet Nam Co เอาชนะความท้าทายต่าง ๆ เช่น การพึ่งพาวัสดุนำเข้า และมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาผู้มีความสามารถในท้องถิ่น ด้วยการใช้กรณีการใช้งาน 40+ 4IR รวมถึงการวางแผนขั้นสูงและระบบอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI ไซต์งานจึงเพิ่มผลิตภาพด้านแรงงานขึ้นร้อยละ 190 ส่งมอบตรงเวลาได้ร้อยละ 99.5 และลดต้นทุนการผลิตลงร้อยละ 45
เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น เจเนอเรทีฟเอไอและการเรียนรู้ของเครื่องจักรเป็นคุณลักษณะสำคัญของ “โรงงานประภาคาร” กลุ่มนี้
บริษัท เหอเฝย ไมเดีย วอชชิ่ง แมทชีน จำกัด (Hefei Midea Washing Machine Co.) ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได่กล่าวกับโกลบอลไทมส์ว่า ได้มีการดำเนินการสำรวจและสร้างการดำเนินงานสีเขียวตั้งแต่ต้นจนจบและพัฒนา ความสามารถอย่างยั่งยืน รวมทั้งมีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างกว้างขวางเพื่อประยุกต์ใช้เอไอในการออกแบบผลิตภัณฑ์ การผลิตและโลจิสติกส์ในวงกว้าง
จาง เสี่ยวอี้ รองประธานและผู้อำนวยการใหญ่ของไมเดีย กรุ๊ป (Midea Group) กล่าวว่าการใช้เอไอในระดับลงลึกในกระบวนการทั้งหมดของโรงงานครอบคลุมสถานการณ์ย่อยต่าง ๆ 457 สถานการณ์ โดยเฉพาะผ่านอัลกอริธึมอัจฉริยะตัวอย่างขนาดเล็กที่พัฒนาตนเองและแพลตฟอร์มคลาวด์การพัฒนา AI ตลอดจนการรับประกันการก่อสร้างองค์กรแบบผสมของ IT&OT เพื่อลดต้นทุนการส่งเสริมการขายและการดำเนินงานและการบำรุงรักษาในวงกว้าง ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานได้ถึงร้อยละ 37.6 และเพิ่มประสิทธิภาพด้านลอจิสติกส์ร้อยละ 29
“โรงงานประภาคาร” กลุ่มล่าสุดรายงานว่า ผลิตภาพแรงงานเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยร้อยละ 50 เนื่องจากโซลูชันดิจิทัลต่าง ๆ เช่น โปรแกรมการฝึกอบรมเชิงโต้ตอบ อุปกรณ์อัจฉริยะและอุปกรณ์สวมใส่ และระบบอัตโนมัติที่ผสมผสานหุ่นยนต์ เอไอ และระบบแมชชีนวิชั่น
WEF กล่าวว่า การสร้างแบบจำลองกระบวนการและการวิเคราะห์ต้นตอยังช่วยปลดล็อกประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นทั่วทั้งห่วงโซ่อุปทานแบบครบวงจรของโรงงานประภาคาร โดยเฉลี่ยแล้วสามารถลดการใช้พลังงานลงร้อยละ 22 ช่วยลดสินค้าคงคลังลงร้อยละ 27 และช่วยลดของเสียลงร้อยละ 55
คาเรล อีลูท หุ้นส่วนอาวุโสระดับโลกของ McKinsey กล่าวว่า “โรงงานประภาคาร” ได้ก้าวข้ามขั้นนำร่องไปแล้วอย่างแท้จริง และในปัจจุบันเกือบร้อยละ 60 ของกรณีการใช้งานหลักๆ ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูง เทียบกับการใช้เพียงร้อยละ 11 ในปี 2562 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ปัญญาประดิษฐ์กำลังเปลี่ยนโฉมการผลิตและก้าวไปสู่ระดับการเติบโตเต็มที่แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
“โรงงานประภาคาร” เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะ “โรงงานที่ล้ำหน้าที่สุดในโลก” แมคคินซีย์ (McKinsey) ระบุว่าโรงงานเหล่านี้เปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4 อย่างประสบความสำเร็จ จากการบูรณาการในระยะนำร่องสู่ระดับที่กว้างใหญ่ขึ้น บรรลุผลประโยชน์ทางการเงินและการดำเนินงานที่สำคัญ
นับตั้งแต่การคัดเลือกครั้งแรกในปี 2561 มี “โรงงานประภาคาร” ทั้งหมด 172 แห่งทั่วโลก โดยโรงงาน 74 แห่งตั้งอยู่ในจีน คิดสัดส่วนเป็นร้อยละ 43
เครือข่ายโรงงานประภาคารระดับโลก หรือ Global Lighthouse Network เป็นโครงการริเริ่มระดับโลกที่ก่อตั้งโดย WEF และ McKinsey ในปี 2561 และนับตั้งแต่นั้นมาก็ได้เปิดเผยรายชื่อ “โรงงานประภาคาร” จำนวน 12 ฉบับ