การยกเลิกระบบศักดินาในเขตปกครองตนเองทิเบต นับเป็นการก้าวกระโดดครั้งยิ่งใหญ่ในอารยธรรมมนุษย์
ทิวทัศน์หิมะของพระราชวังโปตาลาในเมืองลาซา เขตปกครองตนเองทิเบต (ซีจ้าง) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ภาพถ่าย
ทางอากาศโดยโดรนเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 (ซินหัว)
กามา เซ่อตาน ประธานรัฐบาลท้องถิ่นในเขตปกครองตนเองทิเบต (ซีจ้าง) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีว่า การยกเลิกระบบศักดินาในเขตปกครองตนเองทิเบตเมื่อ 66 ปีก่อน ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในพัฒนาการทางสังคมและความก้าวหน้าด้านสิทธิมนุษยชนของทิเบต ถือเป็นการก้าวกระโดดทางประวัติศาสตร์ของอารยธรรมมนุษยชนและสิทธิเสรีภาพระดับโลก
เขากล่าวสุนทรพจน์เนื่องในโอกาสการปฏิรูปประชาธิปไตยครบรอบ 66 ปีที่ยกเลิกระบบศักดินาทาสในซีจ้างซึ่งตรงกับวันศุกร์ปีนี้ (28 มี.ค.)
กามา เซ่อตาน กล่าวว่า เมื่อ 66 ปีก่อน ประชากรชาวทิเบตร้อยละ 95 มีชีวิตอยู่ในฐานะผู้รับใช้หรือทาส ซึ่ง “เจ้าของที่ดินรายใหญ่ 3 ราย” มองว่าพวกเขาเป็นเพียง “สัตว์ที่พูดได้” และผู้คนทุก 1 ใน 8 คนบนท้องถนนในเมืองลาซาเป็นขอทาน ในพื้นที่ทุ่งหญ้าทางตอนเหนือของทิเบต คนเลี้ยงสัตว์ที่ไม่สามารถจ่ายค่า “ภาษีหัว” จะต้องเผชิญกับการลงโทษอย่างรุนแรง โดยบางคนถูกตัดแขนตัดขาและปล่อยให้ดิ้นรนเอาชีวิตรอด
การปฏิรูปประชาธิปไตยในซีจ้างเมื่อปี 2502 ได้ทำลายล้างระบบศักดินาเทวธิปไตยที่ปกครองด้วยระบอบศักดินามาหลายศตวรรษ ซึ่งเคยครองอำนาจทั้งทางศาสนาและการเมืองมายาวนาน
ในปี 2502 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของภูมิภาค และจำนวนประชากรของซีจ้างเท่ากับ 174 ล้านหยวนและ 1.23 ล้านคน แต่ในปี 2567 เติบโตเป็น 276,490 ล้านหยวน และ 3.7 ล้านคน ตามลำดับ โดยอายุขัยเพิ่มขึ้นจาก 35.5 ปีเป็น 72.5 ปี
ปัจจุบัน ซีจ้างถือเป็นตัวอย่างที่ดีในด้านการศึกษา โดยมีระบบการศึกษาสาธารณะฟรี 15 ปีตั้งแต่ระดับก่อนวัยเรียนจนถึงมัธยมปลาย บริการการแพทย์ทางไกลมีให้บริการที่คลินิกระดับตำบลทั้งหมด ในปี 2567 รายได้สุทธิต่อหัวของคนเมืองและชนบทอยู่ที่ 55,444 หยวนและ 21,578 หยวน ตามลำดับ
นอกจากนี้ ในด้านสวัสดิการสังคม ระบบประกันสังคมของภูมิภาคได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง มีการพัฒนาชนบทในพื้นที่สูงซึ่งกำลังก้าวหน้าอย่างมั่นคง รวมทั้งความก้าวหน้าในการอนุรักษ์ระบบนิเวศในพื้นที่