บทสัมภาษณ์รองเลขาธิการสหประชาชาติ: “แต่ละประเทศจะแข็งแกร่งขึ้นหากพวกเขาเต็มใจที่จะทำงานร่วมกัน”

(People's Daily Online)วันอาทิตย์ 27 เมษายน 2025


ด้านนอกอาคารสำนักงานสหประชาชาติ ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ภาพถ่ายเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567
(ซินหัว)

ทอม เฟล็ตเชอร์ รองเลขาธิการสหประชาชาติฝ่ายกิจการมนุษยธรรมและผู้ประสานงานบรรเทาทุกข์ฉุกเฉินกล่าวว่า ข้อริเริ่มที่จีนเสนอในเวทีโลกเรื่องสันติภาพและความมั่นคง การพัฒนาโลกและความร่วมมือทางวัฒนธรรมสอดคล้องกับภารกิจหลักของสหประชาชาติในเรื่องการสร้างสันติภาพ ความพยายามด้านมนุษยธรรมและความมั่นคงโลก

เฟล็ตเชอร์กล่าวว่า ประเทศต่าง ๆ สามารถบรรลุการพัฒนาเศรษฐกิจในวงกว้างได้โดยการสร้างความร่วมมือที่หยั่งรากในความไว้วางใจและการเจรจา ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ประเทศจีนเป็นตัวอย่าง

เฟล็ตเชอร์ ซึ่งเดินทางเยือนจีนสัปดาห์นี้ กล่าวกับซินหัวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า ความร่วมมือดังกล่าวมีความสำคัญอย่างยิ่งในขณะนี้ เนื่องจากระบบมนุษยธรรมทั่วโลกกำลังเผชิญกับความตึงเครียดอย่างหนักท่ามกลางความขัดแย้งที่ยังคงดำเนินอยู่ทั้งในฉนวนกาซา ยูเครน และซูดาน

“ความร่วมมือต้องอาศัยการรับฟังและพูดคุยกันของพวกเราทุกคน” เขากล่าว พร้อมเสริมว่าแนวทางของจีนในการมีส่วนร่วมระหว่างประเทศสะท้อนถึงหลักการดังกล่าว

“จีนไม่ได้พยายามยัดเยียดมุมมองของตนให้กับผู้อื่น แต่กำลังพยายามสร้างการสนทนาและความไว้วางใจ และนั่นคือจิตวิญญาณที่ผมคิดว่าเราทุกคนควรร่วมมือกัน”

เขากล่าวเสริมว่าความคิดริเริ่มที่จีนเสนอเกี่ยวกับสันติภาพและความมั่นคง การพัฒนาโลก และความร่วมมือทางวัฒนธรรม สอดคล้องอย่างใกล้ชิดกับภารกิจหลักของสหประชาชาติในการสร้างสันติภาพ ความพยายามด้านมนุษยธรรม และความมั่นคงระดับโลก

เขากล่าวว่า “มีการทำงานร่วมกันอย่างมหาศาลที่นั่น และยังมีศักยภาพมหาศาลในการสร้างความร่วมมือกันเพิ่มเติมอีกด้วย ผมคิดว่ามีงานปฏิบัติจริงมากมายที่เราสามารถทำร่วมกันได้ เช่น การเคลื่อนไหวเพื่อมนุษยธรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การเตรียมพร้อมสำหรับภัยพิบัติทางสภาพอากาศ และการสนับสนุนในทางปฏิบัติในประเทศต่าง ๆ ซึ่งผมอยากเห็นความร่วมมือระหว่างนักการทูตของเราในแต่ละวันมากขึ้น”

นอกจากนี้ แนวคิดเรื่อง “ประชาคมมนุษย์ที่มีอนาคตร่วมกัน” เป็นแนวคิดสำคัญอีกประการหนึ่งที่เน้นย้ำถึงความสามัคคีระดับโลกและ “โลกควรมารวมกัน ไม่ใช่แยกออกจากกัน” แนวคิดดังกล่าวได้สร้าง “ความร่วมมือที่เราต้องการจริง ๆ หากเราต้องการรับมือกับความท้าทายที่อยู่ข้างหน้า ซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศด้วย” เขากล่าว

เฟล็ตเชอร์ได้เน้นย้ำถึงโครงการรถไฟรางมาตรฐาน มอมบาซา-ไนโรบี ซึ่งเป็นโครงการสำคัญภายใต้ความร่วมมือ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง”  (Belt and Road) ระหว่างจีนและเคนยา เขาย้อนถึงช่วงที่เคยอาศัยอยู่ในเคนยาช่วงปลายทศวรรษ 1990 และต้องขับรถระหว่างสองเมืองนี้ โดยกล่าวว่า “ถนนสมัยนั้นขรุขระมาก เราใช้เวลาเดินทางจากไนโรบีไปมอมบาซานานมาก ดังนั้น การที่เห็นระบบขนส่งสมัยใหม่ช่วยลดเวลาและระยะทางระหว่างเมืองได้ขนาดนี้ ผมคิดว่ามันส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อเศรษฐกิจโลกและการพัฒนาระดับโลก"

“การที่โครงสร้างพื้นฐานดีขึ้นหมายความว่าผมเดินทางได้เร็วขึ้น แต่ที่สำคัญกว่านั้น คือ เราส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เราสามารถขนส่งอาหาร ยารักษาโรค และที่พักพิงไปถึงชุมชนที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน” เขาเสริม

ในฐานะผู้สนับสนุนแนวคิดพหุภาคีนิยม เฟล็ตเชอร์ชี้ว่า เขากังวลอย่างมากเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการที่สหรัฐฯ ถอนตัวออกจากความร่วมมือระหว่างประเทศ ลดความช่วยเหลือ และขึ้นภาษีนำเข้าอย่างกว้างขวาง “ผมไม่เชื่อว่าประเทศใดจะสามารถสร้างการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนได้ด้วยการปิดตัวเองจากโลก” เขากล่าวพร้อมเสริมว่า “มาตรการภาษีเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอยู่แล้ว”

เขาเสริมว่า “ผมกังวลมากกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนี้ มันยังเสี่ยงที่จะส่งผลต่อเศรษฐกิจของหลายประเทศที่เป็นหุ้นส่วนและผู้สนับสนุนของเรา ซึ่งการสนับสนุนจากพวกเขามีความสำคัญอย่างยิ่งต่องานมนุษยธรรม” และ “เห็นได้ชัดว่าเราต้องการการเจรจา เราต้องการความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เราต้องการความร่วมมือระหว่างประเทศมากขึ้น และผมหวังว่าการเจรจาและการมีส่วนร่วมจะช่วยคลี่คลายความขัดแย้งด้านการค้าและภาษีเหล่านี้ได้ และทำให้เราทำงานร่วมกันแทนที่จะแยกกันทำ”

ในขณะเดียวกัน เฟล็ตเชอร์ระบุว่า “การขาดแคลนเงินทุนเนื่องจากสหรัฐฯ ลดความช่วยเหลือเป็นความท้าทายใหญ่ในระยะสั้น เพราะการตัดงบประมาณดังกล่าวทำให้เราต้องปิดโครงการจำนวนมาก และต้องบอกลาเพื่อนร่วมงานที่ยอดเยี่ยมมากมายในหลายภาคส่วน มันเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียโครงการเหล่านี้ และเห็นผลกระทบต่อผู้คนที่เราช่วยเหลือ สิ่งที่เราต้องการตอนนี้ คือ ให้ประเทศอื่น ๆ ก้าวเข้ามาช่วยเหลือ”

เขาเน้นย้ำถึง “บทบาทผู้นำที่แท้จริงของจีน” ในการปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวในเมียนมา โดยกล่าวว่า “ผมเคยอยู่ที่เมียนมา และเห็นทีมกู้ภัยจีนทำงานตลอด 24 ชั่วโมงหลังเกิดแผ่นดินไหว เพื่อช่วยผู้รอดชีวิตจากซากปรักหักพัง” และ

“ในสถานการณ์เหล่านี้ คุณรู้สึกถึงความสิ้นหวัง แต่ก็รู้สึกถึงความหวังด้วย เพราะในยามที่ผู้คนอยู่ภายใต้ความกดดันมหาศาล พวกเขาจะช่วยเหลือกันและตอบสนองต่อวิกฤต การได้เห็นการเตรียมพร้อมของพวกเขาและความเชี่ยวชาญของทีมกู้ภัยจีน ผมคิดว่าโลกต้องการสิ่งนี้ โลกต้องการประสบการณ์และความเชี่ยวชาญแบบนี้ เราต้องการการสนับสนุนจากจีนและความเป็นผู้นำแบบนี้จากจีน”