ทางรถไฟจีน-ลาวส่งเสริมการส่งออกทุเรียน หนุนความร่วมมือทางการค้าในภูมิภาค

(People's Daily Online)วันพฤหัสบดี 12 มิถุนายน 2025

โครงการรถไฟจีน-ลาว หนึ่งในโครงการโครงสร้างพื้นฐานสำคัญภายใต้ข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI) ช่วยส่งเสริมความร่วมมือทางการค้าระหว่างจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการเกษตร ตามรายงานเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

ในบรรดาผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การส่งออกทุเรียนของไทยไปยังจีนเติบโตอย่างมั่นคง ซึ่งต้องขอบคุณโครงการรถไฟจีน-ลาว ในปีนี้ ปริมาณการนำเข้าทุเรียนไทยและผลไม้เมืองร้อนอื่น ๆ ของจีนผ่านด่านรถไฟโม๋ฮันในมณฑลยูนนาน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เพิ่มขึ้นร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ตามรายงานที่โพสต์บนบัญชีทางการของบริษัท China State Railway Group Co. บนแอปพลิเคชัน WeChat

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าการที่ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร รวมทั้งทุเรียนไทย ไหลเข้าสู่ตลาดจีนในปริมาณมากนั้น เป็นผลมาจากความสามารถในการขนส่งที่เพิ่มขึ้นของรถไฟจีน-ลาว และประสิทธิภาพการดำเนินพิธีการศุลกากรที่ชายแดน

รายงานระบุว่า นับตั้งแต่บริการขนส่งด่วนเริ่มดำเนินการในเดือนมกราคม 2565 ต้นทุนการขนส่งผลไม้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ลดลง 60% เมื่อเทียบกับการขนส่งทางบกแบบดั้งเดิม ในขณะที่ราคาขายปลีกเฉลี่ยในตลาดภายในประเทศลดลง 30%

นายสวี ลี่ผิง ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งสถาบันสังคมศาสตร์จีน กล่าวกับ Global Times เมื่อวันอาทิตย์ว่า โครงการริเริ่มต่าง ๆ เช่น ทางรถไฟจีน-ลาว และโครงการขนส่งในภูมิภาคอื่น ๆ กำลังอำนวยความสะดวกให้การค้าไหลลื่นขึ้น ลดต้นทุนการขนส่ง และเพิ่มการเข้าถึงตลาด

นายสวี กล่าวว่า การปรับปรุงเหล่านี้คาดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ส่งออกของไทยโดยให้โซลูชันด้านโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดระยะเวลาในการนำสินค้าที่เน่าเสียง่าย เช่น ผลไม้และผักออกสู่ตลาด

ต้นทุนด้านโลจิสติกส์ที่ลดลงยังส่งผลดีต่อผู้บริโภคชาวจีนอีกด้วย “เมื่อเดือนที่แล้ว กล่องมาตรฐาน (16 กิโลกรัม) ของทุเรียนพันธุ์ต่างๆ เช่น หมอนทอง มีราคา 1,100 หยวนถึง 1,200 หยวน (153 ดอลลาร์) แต่ตอนนี้เหลือเพียง 730-780 หยวนเท่านั้น ราคาตกลงอย่างมาก” หวัง หนึ่งในพ่อค้าผลไม้ที่ตลาดขายส่งซินฟาตี้ ตลาดสดที่สำคัญแห่งหนึ่งในกรุงปักกิ่ง กล่าวกับโกลบอลไทม์สเมื่อวันอาทิตย์

ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรคุณภาพสูงของไทย โดยเฉพาะทุเรียน มังคุด และลำไย ได้รับความนิยมอย่างสูงในจีน ขณะที่ข้าวไทยก็ได้รับความนิยมอย่างมากเช่นกัน

จีนเป็นพันธมิตรทางการค้ารายใหญ่ที่สุดของไทยและเป็นแหล่งการลงทุนที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของไทย ตลาดขนาดใหญ่ของจีนดูดซับทุเรียนไทยและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรอื่น ๆ จำนวนมาก ตามข้อมูลที่เผยแพร่โดยสำนักงานศุลกากรจีนในเดือนมกราคม การค้าทวิภาคีมีมูลค่า 133,980 ล้านดอลลาร์ในปี 2567 เพิ่มขึ้น 6.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี สำนักข่าวซินหัวรายงาน

ตามรายงานของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์เมื่อวันอาทิตย์ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวเมื่อวันเสาร์ว่า ประเทศไทยกำลังเร่งความพยายามในการขยายการส่งออกสินค้าเกษตรไปยังจีน โดยมันสำปะหลังและข้าวถือเป็นสินค้าหลักที่มีความสำคัญ

จากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของการค้าทวิภาคีและความต้องการของจีนต่อผลิตภัณฑ์ไทยที่เพิ่มมากขึ้น เช่น ข้าว มันสำปะหลัง และทุเรียน ทางการไทยกำลังผลักดันให้บุกเบิกตลาดจีนเพิ่มเติม หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์รายงานว่า นายสวี กล่าวว่า ความพยายามของไทยในการขยายการส่งออกสินค้าเกษตรไปยังจีนนั้นสอดคล้องกับเป้าหมายที่กว้างขึ้นของ BRI ซึ่งมุ่งเน้นที่จะเพิ่มการเชื่อมโยงระดับภูมิภาคและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และคาดว่าทั้งสองประเทศจะได้รับประโยชน์ร่วมกัน

นายสวีกล่าวว่า “สำหรับประเทศไทย การส่งออกที่เพิ่มขึ้นจะขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจและสร้างงานในภาคการเกษตร สำหรับจีน ความพร้อมของผลิตภัณฑ์เกษตรคุณภาพสูงของไทยจะตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคและสนับสนุนแนวโน้มการยกระดับการบริโภคที่ดำเนินอยู่”

การผลักดันเพื่อขยายการส่งออกผลิตภัณฑ์เกษตรเกิดขึ้นในช่วงที่โครงสร้างพื้นฐานเชื่อมต่อระหว่างไทยและจีนกำลังดีขึ้น

ตามรายงานของสำนักข่าวซินหัว รถไฟความเร็วสูงจีน-ไทย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโครงการโครงสร้างพื้นฐานสำคัญภายใต้ BRI คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี ค.ศ.2030 โดยให้บริการขนส่งสินค้าครบวงจร

นายสวีกล่าวเสริมว่า โครงการสำคัญนี้ร่วมกับบริการขนส่ง Lancang-Mekong Express ของทางรถไฟจีน-ลาว นำเสนอรูปแบบความร่วมมือระหว่างจีนและประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายใต้กรอบ BRI และจะเติมพลังใหม่ให้กับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของไทย รวมถึงการเชื่อมโยงในภูมิภาค

นอกจากนี้ นายสวียังเน้นย้ำถึงความร่วมมือระดับภูมิภาคผ่านข้อตกลงการค้าเสรีจีน-อาเซียนและความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ที่ครอบคลุม โดยอธิบายว่าความร่วมมือเหล่านี้เป็นช่องทางให้ธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าถึงตลาดจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการลงทุนข้ามพรมแดน